คำถาม: ผู้ที่เข้ารับการคัดเลือกทหารแล้วปรากฏว่าถูกทหาร แสดงว่าเป็นเพราะผลกรรมที่กระทำไว้ในอดีตชาติใช่หรือไม่?
คำตอบ: ใครเป็นคนบอกคุณ หลวงพ่อว่าคุณมองมุมผิดแล้วนะ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นทหารนับว่าเป็นคนโชคดี ที่จะได้รับการฝึกวินัย หลวงพ่อจะเล่าให้ฟัง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
ได้ทรงบันทึกความเห็นส่งไปให้ด๊อกเตอร์ฟรานซิสปีส์แยสส์หรือพระยากัลยาณ
ไมตรี ซึ่งเป็นทูตอเมริกันประจำประเทศไทยในยุคนั้นทรงปรารภไว้ในบันทึกว่า
ในสมัยรัชกาลของพระองค์นั้น คนไทยทั้งประเทศ ซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 6 หรือ 8
ล้าน แต่ทั้งประเทศมีชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย อ่านเผินๆ แล้ว
นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า เอ๊ะ...เป็นไปได้อย่างไร?
พระองค์ทรงอธิบายว่า
สมัยนั้นคนที่อยู่ตั้งแต่จังหวัดพิษณุโลกขึ้นไปจนกระทั่งถึงเชียงใหม่
เขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นชาวล้านนา เป็นชาวเหนือ เป็นคนเมือง ไม่ใช่คนไทย
ส่วนคนที่อยู่ตั้งแต่จังหวัดนครราชสีมา ไปจนกระทั่งจรดฝั่งโขง
เขาก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนลาว ไม่ใช่คนไทย และตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป
เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนปักษ์ใต้ ไม่ใช่คนไทย
ตกลงคนที่มีความรู้สึกว่าเป็นคนไทยจะอยู่แถวๆ กรุงเทพฯ กับรอบๆ กรุงเทพฯ
อีกไม่กี่จังหวัด ยิ่งกว่านั้นจังหวัดที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ
นี่ก็เป็นชาวจีนต่างด้าวเสียอีกตั้งมาก ตกลงเป็นอันว่าคนที่มีความรู้สึกว่า
ตนเป็นคนไทยมีน้อยกว่าคนที่รู้สึกว่าตนเป็นคนต่างชาติ จากบันทึกนี้แสดงว่า
พระองค์ท่านทรงปริวิตกถึงความรู้สำนึกในความเป็นคนไทยของคนไทยมาก
การเกณฑ์ทหาร
ต่อมาไม่นานก็ทรงดำริว่า
ถ้าหากขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปในขณะที่ลัทธิล่าเมืองขึ้นกำลังระบาด
ความพินาศจะเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย จึงทรงดำเนินนโยบาย 4 ประการ คือ
1. ให้มีการเกณฑ์ทหาร ชายไทยทุกคนเมื่อเป็นหนุ่มฉกรรจ์มีอายุ 20 ปี จะต้องเป็นทหาร ต้องเกณฑ์มาฝึกวินัยให้หมด ให้มาเป็นกำลังของชาติ
2. แต่งเพลงชาติให้ร้อง
เพราะตอนนั้นยังไม่มีเพลงชาติเพื่อให้คนไทยที่อยู่ตามภูมิภาคต่างๆ
ได้มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นคนไทยเหมือนกัน แรกๆ
ก็ให้ทหารเกณฑ์ร้องก่อน แล้วฝึกวินัยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี 5 ปี 10 ปี
ทหารพวกนี้และประชาชนทั่วไปจึงเกิดมีความรู้สึกว่า
ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนของประเทศไทย ฉันคือคนไทย
3. บังคับให้เรียนภาษาไทย
ภาษาพื้นเมืองนั้น ใครจะเรียนก็ไม่ว่า ที่สำคัญต้องเรียนภาษาไทยกลางด้วย
ไม่อย่างนั้นจะเกิดกรณีว่าอยู่ในประเทศเดียวกัน
แต่ใช้กันคนละภาษาแล้วก็ทะเลาะกัน นี่
คือความอึดอัดขัดพระทัยของพระองค์ท่าน การสร้างความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทย
ไม่ใช่ทำง่ายๆ ต้องลงทุนกันถึงขนาดนี้ ยังไม่พอ ยังทรงวางนโยบายต่อไปอีก
คือ
4. ตั้งกองเสือป่าขึ้น เพื่อให้ข้าราชการต่างๆ ปรองดองกันเกิดความสมานสามัคคีกัน (ทำนองเดียวกันกับลูกเสือชาวบ้านในปัจจุบัน)
พระบาทสมเด็กพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
เมื่อทรงกำหนดนโยบายไว้อย่างนี้แล้ว ในทางปฏิบัติทรงทำอย่างไร
ให้ผู้รับไปปฏิบัติเข้าใจ ขอใช้คำว่าพระองค์ทรงเทศน์เองเลย
จำได้ไหมหนังสือที่เราเคยได้อ่านกันเรียนกัน ชื่อหนังสือ “เทศนาเสือป่่า” และ “พระพุทธเจ้าตรัสรู้
อะไร” นอกจาก 2 เล่มนี้พระองค์ยังทรงเขียนหนังสือไว้อีกมากมาย
เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนทั้งแผ่นดินว่าเป็น
คนไทย
ปัจจุบันนี้วิกฤติการณ์ล่าเมืองขึ้นลดลงแล้ว
พวกเราก็เลยเริ่มประมาทและไม่เห็นคุณค่าของการเป็นทหารด้วย
ขอให้เรามองความเป็นไทยให้ชัดๆ แล้วรู้ไว้ด้วยว่า
โรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้วมีผลต่อความอยู่รอดของชาติไทยอย่างมาก
ขณะนี้ ก็คือโรงเรียนของทหารเกณฑ์ทั้งหลายนั่นเอง พวกเราที่ไม่เคยเป็น
เขาฝึกทหารเกณฑ์ พูดให้ฟังก็ไม่ค่อยจะเชื่อ
ทหารเกณฑ์บางคนมาจากถิ่นทุรกันดารขาดการศึกษาก็มี ซ้ายหันขวาหัน
มือซ้ายมือขวาไม่รู้จักหรอก ต้องเอาเชือกผูกข้อมือเป็นเครื่องหมายไว้ว่า
นี่คือข้างซ้าย เอ็งจำเอาไว้นะข้างขวามือเปล่า
ถ้าข้าบอกว่าซ้ายหมายถึงข้างที่ผูกเชือกเอาไว้
การฝึกทหารเกณฑ์
นี่เขาต้องทำกันถึงขนาดนี้ การฝึกให้เกิดความสำนึกขึ้นมาว่า
คนทุกหมู่ทุกเหล่าบนผืนแผ่นดินไทย ต้องมีความสำนึกของความเป็นคนไทยนี้
ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ไม่ทรง วางพื้นฐานไว้
บ้านเมืองเราคงมาไม่ถึงขนาดนี้หรอก
พระราชปรารภอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความกังวลพระทัยมาก คือ
เรื่องการเงินของประเทศ เนื่องจากเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนาประเทศ พัฒนาคน ต้องทรงใช้ เงินในท้องพระคลังมาก
ไม่ใช้ไม่ได้
เพราะขณะนั้นประเทศที่เขาเรียกตัวเองว่าเจริญแล้วกำลังล่าเมืองขึ้นกันอยู่
หลายๆ ประเทศต่างก็จ้องตาเป็นมันมาที่ประเทศไทย
จนพระองค์ต้องทรงเร่งสร้างสาธารณูปโภค
เพื่อให้คนไทยติดต่อกันได้ทั้งแผ่นดิน ทรงสร้างทางรถไฟ วางโทรศัพท์
สร้างถนน ฯลฯ ครั้งนั้นเงินหมดท้องพระคลังไปมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ
พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ขึ้นครองราชย์
เงินในท้องพระคลังแทบไม่มี แต่ว่าจะต้องมาจัดระบบต่างๆ อีกสารพัดรูปแบบ
เพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ให้ได้
คนที่ไม่เข้าใจก็หาว่าพระองค์ผลาญเงินผลาญทองของประเทศ
ทำให้ประเทศชาติล่มจม พระองค์ไม่รู้จะไปอธิบายกับใคร ก็ได้แต่บันทึกไว้
แล้วตั้งพระทัยทำงาน ทรงลุยงานไปตลอด เพราะเหตุการณ์มันบังคับ
ขณะนั้นทั่วโลกก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก เศรษฐกิจย่ำแย่กันไปทั้งโลก
จนกระทั่งเกิดสงครามโลก ประเทศไทยเราก็พลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปด้วย
เพราะฉะนั้น
ในตอนปลายสมัยของพระองค์จึงมีผู้เตรียมการจะปฏิวัติกันต่างหลายครั้ง
เพราะไม่เข้าใจกัน หาว่าพระองค์ผลาญเงินผลาญทอง
แต่ก็ยังดีที่พระองค์ทรงประคับประคองมาได้ตลอดรอดฝั่ง
แต่ว่าเลยมาตกหนักในรัชกาลที่ 7 ถึงกับต่อเปลี่ยนแปลง การปกครอง
เกิดการปฏิวัติ โดยคณะราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2475
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ประทานรัฐธรรมนูญ ทั้งที่
ยังไม่มีการเตรียม ความรู้
ความเข้าใจให้พร้อมสำหรับประชาชนทั้งชาติพระองค์ก็ไม่ทรง โต้ตอบ
รอว่าอีกหน่อยก็รู้เอง ซึ่งก็เป็นความจริง แม้เปลี่ยนแปลงการ
ปกครองมาถึงเดี๋ยวนี้ เราทำอะไรได้เท่าไหร่ก็คงจะรู้กันดีแล้ว
ยังดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงเริ่มฝึกคนเอาไว้
ถ้าไม่อย่างนั้น สมัยสงครามโลกครั้งนี้ 2
แผ่นดินไทยคงราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว ความจริงเรื่องนี้จะมีใครรู้สักกี่คน
เพราะฉะนั้นไปเถอะไปเป็นทหารเกณฑ์เสียดีๆ เป็นโชคดีไม่ใช่โชคร้ายหรอกนะ
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น