วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

เป็นทหารเพราะผลกรรมที่กระทำไว้ในอดีตชาติใช่หรือไม่?


 

คำถาม: ผู้ที่เข้ารับการคัดเลือกทหารแล้วปรากฏว่าถูกทหาร แสดงว่าเป็นเพราะผลกรรมที่กระทำไว้ในอดีตชาติใช่หรือไม่?

 
คำตอบ: ใครเป็นคนบอกคุณ หลวงพ่อว่าคุณมองมุมผิดแล้วนะ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นทหารนับว่าเป็นคนโชคดี ที่จะได้รับการฝึกวินัย หลวงพ่อจะเล่าให้ฟัง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงบันทึกความเห็นส่งไปให้ด๊อกเตอร์ฟรานซิสปีส์แยสส์หรือพระยากัลยาณ ไมตรี ซึ่งเป็นทูตอเมริกันประจำประเทศไทยในยุคนั้นทรงปรารภไว้ในบันทึกว่า ในสมัยรัชกาลของพระองค์นั้น คนไทยทั้งประเทศ ซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 6 หรือ 8 ล้าน แต่ทั้งประเทศมีชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย อ่านเผินๆ แล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า เอ๊ะ...เป็นไปได้อย่างไร?
 
        พระองค์ทรงอธิบายว่า สมัยนั้นคนที่อยู่ตั้งแต่จังหวัดพิษณุโลกขึ้นไปจนกระทั่งถึงเชียงใหม่ เขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นชาวล้านนา เป็นชาวเหนือ เป็นคนเมือง ไม่ใช่คนไทย ส่วนคนที่อยู่ตั้งแต่จังหวัดนครราชสีมา ไปจนกระทั่งจรดฝั่งโขง เขาก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนลาว ไม่ใช่คนไทย และตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนปักษ์ใต้ ไม่ใช่คนไทย ตกลงคนที่มีความรู้สึกว่าเป็นคนไทยจะอยู่แถวๆ กรุงเทพฯ กับรอบๆ กรุงเทพฯ อีกไม่กี่จังหวัด ยิ่งกว่านั้นจังหวัดที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ นี่ก็เป็นชาวจีนต่างด้าวเสียอีกตั้งมาก ตกลงเป็นอันว่าคนที่มีความรู้สึกว่า ตนเป็นคนไทยมีน้อยกว่าคนที่รู้สึกว่าตนเป็นคนต่างชาติ จากบันทึกนี้แสดงว่า พระองค์ท่านทรงปริวิตกถึงความรู้สำนึกในความเป็นคนไทยของคนไทยมาก
 
การเกณฑ์ทหาร
การเกณฑ์ทหาร
 
        ต่อมาไม่นานก็ทรงดำริว่า ถ้าหากขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปในขณะที่ลัทธิล่าเมืองขึ้นกำลังระบาด ความพินาศจะเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย จึงทรงดำเนินนโยบาย 4 ประการ คือ
 
        1. ให้มีการเกณฑ์ทหาร ชายไทยทุกคนเมื่อเป็นหนุ่มฉกรรจ์มีอายุ 20 ปี จะต้องเป็นทหาร ต้องเกณฑ์มาฝึกวินัยให้หมด ให้มาเป็นกำลังของชาติ
 
        2. แต่งเพลงชาติให้ร้อง เพราะตอนนั้นยังไม่มีเพลงชาติเพื่อให้คนไทยที่อยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ได้มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นคนไทยเหมือนกัน แรกๆ ก็ให้ทหารเกณฑ์ร้องก่อน แล้วฝึกวินัยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี 5 ปี 10 ปี ทหารพวกนี้และประชาชนทั่วไปจึงเกิดมีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนของประเทศไทย ฉันคือคนไทย
 
        3. บังคับให้เรียนภาษาไทย ภาษาพื้นเมืองนั้น ใครจะเรียนก็ไม่ว่า ที่สำคัญต้องเรียนภาษาไทยกลางด้วย ไม่อย่างนั้นจะเกิดกรณีว่าอยู่ในประเทศเดียวกัน แต่ใช้กันคนละภาษาแล้วก็ทะเลาะกัน นี่ คือความอึดอัดขัดพระทัยของพระองค์ท่าน การสร้างความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทย ไม่ใช่ทำง่ายๆ ต้องลงทุนกันถึงขนาดนี้ ยังไม่พอ ยังทรงวางนโยบายต่อไปอีก คือ
 
        4. ตั้งกองเสือป่าขึ้น เพื่อให้ข้าราชการต่างๆ ปรองดองกันเกิดความสมานสามัคคีกัน (ทำนองเดียวกันกับลูกเสือชาวบ้านในปัจจุบัน)
 
        พระบาทสมเด็กพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อทรงกำหนดนโยบายไว้อย่างนี้แล้ว ในทางปฏิบัติทรงทำอย่างไร ให้ผู้รับไปปฏิบัติเข้าใจ ขอใช้คำว่าพระองค์ทรงเทศน์เองเลย จำได้ไหมหนังสือที่เราเคยได้อ่านกันเรียนกัน ชื่อหนังสือ “เทศนาเสือป่่า” และ “พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อะไร” นอกจาก 2 เล่มนี้พระองค์ยังทรงเขียนหนังสือไว้อีกมากมาย เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนทั้งแผ่นดินว่าเป็น คนไทย
 
        ปัจจุบันนี้วิกฤติการณ์ล่าเมืองขึ้นลดลงแล้ว พวกเราก็เลยเริ่มประมาทและไม่เห็นคุณค่าของการเป็นทหารด้วย ขอให้เรามองความเป็นไทยให้ชัดๆ แล้วรู้ไว้ด้วยว่า โรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้วมีผลต่อความอยู่รอดของชาติไทยอย่างมาก ขณะนี้ ก็คือโรงเรียนของทหารเกณฑ์ทั้งหลายนั่นเอง พวกเราที่ไม่เคยเป็น เขาฝึกทหารเกณฑ์ พูดให้ฟังก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ทหารเกณฑ์บางคนมาจากถิ่นทุรกันดารขาดการศึกษาก็มี ซ้ายหันขวาหัน มือซ้ายมือขวาไม่รู้จักหรอก ต้องเอาเชือกผูกข้อมือเป็นเครื่องหมายไว้ว่า นี่คือข้างซ้าย เอ็งจำเอาไว้นะข้างขวามือเปล่า ถ้าข้าบอกว่าซ้ายหมายถึงข้างที่ผูกเชือกเอาไว้
 
การฝึกทหารเกณฑ์
การฝึกทหารเกณฑ์
 
        นี่เขาต้องทำกันถึงขนาดนี้ การฝึกให้เกิดความสำนึกขึ้นมาว่า คนทุกหมู่ทุกเหล่าบนผืนแผ่นดินไทย ต้องมีความสำนึกของความเป็นคนไทยนี้ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ไม่ทรง วางพื้นฐานไว้ บ้านเมืองเราคงมาไม่ถึงขนาดนี้หรอก
 
        พระราชปรารภอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความกังวลพระทัยมาก คือ เรื่องการเงินของประเทศ เนื่องจากเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนาประเทศ พัฒนาคน ต้องทรงใช้ เงินในท้องพระคลังมาก ไม่ใช้ไม่ได้ เพราะขณะนั้นประเทศที่เขาเรียกตัวเองว่าเจริญแล้วกำลังล่าเมืองขึ้นกันอยู่ หลายๆ ประเทศต่างก็จ้องตาเป็นมันมาที่ประเทศไทย
 
        จนพระองค์ต้องทรงเร่งสร้างสาธารณูปโภค เพื่อให้คนไทยติดต่อกันได้ทั้งแผ่นดิน ทรงสร้างทางรถไฟ วางโทรศัพท์ สร้างถนน ฯลฯ ครั้งนั้นเงินหมดท้องพระคลังไปมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ
 
        พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ขึ้นครองราชย์ เงินในท้องพระคลังแทบไม่มี แต่ว่าจะต้องมาจัดระบบต่างๆ อีกสารพัดรูปแบบ เพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ให้ได้ คนที่ไม่เข้าใจก็หาว่าพระองค์ผลาญเงินผลาญทองของประเทศ ทำให้ประเทศชาติล่มจม พระองค์ไม่รู้จะไปอธิบายกับใคร ก็ได้แต่บันทึกไว้ แล้วตั้งพระทัยทำงาน ทรงลุยงานไปตลอด เพราะเหตุการณ์มันบังคับ ขณะนั้นทั่วโลกก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก เศรษฐกิจย่ำแย่กันไปทั้งโลก จนกระทั่งเกิดสงครามโลก ประเทศไทยเราก็พลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปด้วย
 
        เพราะฉะนั้น ในตอนปลายสมัยของพระองค์จึงมีผู้เตรียมการจะปฏิวัติกันต่างหลายครั้ง เพราะไม่เข้าใจกัน หาว่าพระองค์ผลาญเงินผลาญทอง แต่ก็ยังดีที่พระองค์ทรงประคับประคองมาได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ว่าเลยมาตกหนักในรัชกาลที่ 7 ถึงกับต่อเปลี่ยนแปลง การปกครอง เกิดการปฏิวัติ โดยคณะราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ประทานรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ ยังไม่มีการเตรียม ความรู้ ความเข้าใจให้พร้อมสำหรับประชาชนทั้งชาติพระองค์ก็ไม่ทรง โต้ตอบ รอว่าอีกหน่อยก็รู้เอง ซึ่งก็เป็นความจริง แม้เปลี่ยนแปลงการ ปกครองมาถึงเดี๋ยวนี้ เราทำอะไรได้เท่าไหร่ก็คงจะรู้กันดีแล้ว
 
        ยังดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงเริ่มฝึกคนเอาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น สมัยสงครามโลกครั้งนี้ 2 แผ่นดินไทยคงราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว ความจริงเรื่องนี้จะมีใครรู้สักกี่คน เพราะฉะนั้นไปเถอะไปเป็นทหารเกณฑ์เสียดีๆ เป็นโชคดีไม่ใช่โชคร้ายหรอกนะ
 
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น