วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?

ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานบันทึกไว้มากมายว่า นรก-สวรรค์มีจริง
แต่ทำไมคนจำนวนไม่น้อยยังสงสัยว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?


      เมื่อสมัยก่อนที่หลวงพ่อจะบวช ความสงสัยเรื่องนรก-สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ก็เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อเหมือนกัน เพราะว่าการหาครูบาอาจารย์ในทางธรรมที่กล้ายืนยันว่านรก-สวรรค์มีจริง นับวันจะหาได้น้อยเต็มที

     ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีเจริญเต็มที่ ถ้าหากมีพระอาจารย์รูปใดยืนยันว่ามีจริง ก็มักจะถูกผู้ที่ไม่เชื่อออกมากล่าวโจมตีว่า เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่ ซึ่งทำให้ ประชาชนทั่วไป แม้แต่ชาวพุทธก็ชักลังเลว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่มีจริง ทั้งๆ ที่เรื่องสวรรค์และนรกนี้เป็นเรื่องราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรม ไว้มากมาย แล้วก็มีการบันทึกเป็นหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกมาเป็นพัน ๆ ปี

     เมื่อสมัยหลวงพ่อยังเรียนอยู่ชั้นประถมต้น ก็เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง เพราะผู้ใหญ่บอกไว้ตั้งแต่จำความได้ แต่พออยู่ประมาณชั้น ป.๔ ก็เริ่มไม่แน่ใจ เพราะมีผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เชื่อมาพูดให้ได้ยินว่านรก-สวรรค์ไม่มีจริง

     เมื่อความเห็นของผู้ใหญ่แบ่งเป็น ๒ กลุ่มแบบนี้ หลวงพ่อเองแม้เป็นเด็กแต่ก็ต้องการคำยืนยันจากผู้ใหญ่ แต่ก็ปรากฏว่าหาผู้ที่กล้ายืนยันแบบชัด ๆ ไม่ค่อยได้

     หลวงพ่อนำคำถามนี้ไปถามพระ ถามครูถามลุงป้าน้าอา เพื่อต้องการคำยืนยันว่าสวรรค์-นรกมีจริงหรือไม่มีจริง แล้วก็พบว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะตอบแบบก้ำกึ่งว่ามันน่าจะมีเพราะว่าในพระ ไตรปิฎกมีบันทึกไว้มาก แต่ว่าท่านเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง

     การที่ท่านเชื่อว่าน่าจะมี ก็เพราะว่าพระไตรปิฎกนั้นเป็นบันทึกของพระอรหันต์ไม่ใช่บันทึกของชาวบ้าน ปุถุชน แล้วในการที่คัดลอกต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ บรรพบุรุษของเราในยุคโน้นก็ไม่มีเหตุผลว่าจะโกหกเราไปทำไม เพราะท่านก็ไม่ได้อะไรจากการที่คัดลอกพระไตรปิฎกไว้เป็นมรดกให้แก่ลูกหลาน


     การคัดลอกพระไตรปิฎกนั้น หลวงพ่อยังทันได้เห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก สมัยนั้นเวลาเขาคัดลอกลงใบลาน กว่าจะได้ใบลานมาใช้งานเขาก็ต้องลงแรงกันมากทีเดียว

     เขาต้องไปเลือกใบลานก่อน เลือกแล้วเลือกอีกอยู่นาน แล้วก็นำมาตาก นำมาผึ่งแดดแล้วก็นำมาตัด นำมากรีด จนกระทั่งได้ขนาดที่พอดี แล้วก็ใช้เหล็กเขียนตัวอักษรลงไปบนใบลาน

     การเขียนอักษรบนใบลาน เขาใช้คำศัพท์ว่า “จาร”

     คำว่า “จาร” แปลว่า “เขียน” การใช้เหล็กจารก็คือ การใช้เหล็กเขียน โดยมีด้ามจับเป็นไม้ แล้วตรงปลายมีเหล็กแหลมใช้เขียนลงไปบนใบลาน

     เวลาเขียนต้องกดปลายเหล็กแหลม ๆให้กินลงไปในเนื้อของใบลาน พอเขียนเสร็จหมด ๑ ใบแล้ว ก็ต้องเอาน้ำมันของต้นยางผสมกับดินหม้อดำๆ ที่ได้มาจากก้นหม้อก้นกระทะ พอผสมได้ที่แล้วก็จะได้น้ำมันยางเป็นสีดำ แล้วเขาก็ทาลงไปที่ใบลาน

     เมื่อทาลงไปแล้ว น้ำมันยางกับดินหม้อดำ ๆ ก็แทรกเข้าไปในเนื้อของใบลาน แล้วเขาก็ใช้ผ้าค่อย ๆ เช็ดสีดำ ๆ ที่เปื้อนใบลานอยู่ออกไป ก็จะเหลือแต่สีดำ ๆ ฝังไว้ในรอยขีดรอยเขียนบนใบลาน

     เพราะฉะนั้น กว่าจะเขียนใบลานได้แต่ละใบ ไม่รู้เขาเมื่อยเขาเหนื่อยกันขนาดไหนถ้าเขียนผิดพลาดตัวหนึ่งก็ต้องทิ้งทั้ง แผ่นเพราะลบไม่ได้ การเขียนพระไตรปิฎกในอดีตจึงเหนื่อยหนักหนาสาหัสนัก

     เมื่อตอนหลวงพ่อยังเด็กก็เคยได้ยินผู้ใหญ่รุ่นนั้นท่านบ่นเหมือนกันว่า วันนี้เขียนได้ตั้ง ๒ แผ่น ๓ แผ่น เมื่อยมือเมื่อยหลังไปหมดเลยหลวงพ่อเป็นเด็กก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากก็เลย ถามท่านว่า ถ้าเมื่อยแล้วจะไปเขียนทำไมท่านก็บอกว่า “ฉันจะเอาบุญ” หลวงพ่อก็เลยได้คิดว่า ที่ท่านมานั่งหลังขดหลังแข็งจารึกพระไตรปิฎกลงใบลานเป็นวัน ๆ ก็เพราะว่า ท่านจะเอาบุญ ท่านไม่ได้รับจ้างเขียนหนังสือ ไม่ได้รับจ้างเขียนใบลาน
     การที่หลวงพ่อใช้คำว่าท่าน ก็เพราะว่ามีทั้งพระ มีทั้งฆราวาสที่ผ่านการบวชแล้ว มาช่วยกันเขียนฆราวาสก็คืออดีตพระ เพราะผู้ชายอายุครบ ๒๐ ปีในยุคโน้น ก็บวชเรียนกัน ทำให้มีความสามารถในการเขียนใบลาน เมื่อสึกหาลาเพศไปมีครอบครัว พอพ้นฤดูทำนา ท่านก็มาช่วยหลวงพ่อ มาช่วยพระอาจารย์เขียนพระไตรปิฎก จารตัวอักษรลงใบลานกัน เขาทำสืบทอดกันอย่างนี้มาเป็นร้อยเป็นพันปี ทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยความเหนื่อยยากเพราะฉะนั้นท่านจึงไม่มีเหตุผลจะต้องมาเขียนเพื่อโกหกคนรุ่นหลัง


     เรื่องที่เล่ามาเป็นแค่เรื่องการเขียนลงใบลาน ส่วนเรื่องการลองผิดลองถูกเมื่อพัน ๆ ปีก่อนหน้าโน้น กว่าจะสรุปได้ว่าต้องเป็นใบลาน ก็คงใช้เวลาอยู่ไม่น้อย แล้วใบลานก็ยังมีหลายชนิด กว่าจะสรุปได้ว่าใบลานชนิดไหน ใช้ได้หรือไม่ได้ ก็คงหมดเวลาอีกไม่น้อย เมื่อได้ชนิดใบลานแล้ว กว่าจะสรุปได้ว่าต้องใช้ใบแก่ขนาดนั้นขนาดนี้ เลือกแล้วเลือกอีก ก็คงใช้เวลาอีกไม่น้อย

     เพราะฉะนั้น หลวงพ่อ หลวงปู่ในยุคโน้นแม้ตัวท่านเองยังมองนรกมองสวรรค์ไม่เห็น แต่ท่านก็มีความมั่นใจว่าอย่างน้อยต้องมีจริงเพราะเห็นความวิริยอุตสาหะของ ปู่ย่าตาทวดของท่านที่พากเพียรบันทึกพระไตรปิฎกลงใบลานสืบทอดกันมาเป็นพันๆ ปี

     ในฐานะที่ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นเด็กจึงตระเวนถามไปทั่ว บางท่านก็ตอบชัดเจนว่ามีจริง แต่พอซักถามต่อว่า หลวงพ่อหลวงพี่เคยเห็นหรือ ท่านก็ดีนะตอบตรง ๆ ว่าไม่เคยหลวงพ่อก็ซักถามอีกว่า แล้วทำไมหลวงพ่อหลวงพี่มั่นใจล่ะว่ามีจริง?ท่านก็ตอบว่า แม้ท่านจะไม่เคยเห็น แต่อาจารย์บ้าง หลวงลุงของท่านบ้างเคยเห็น แล้วท่านก็ไม่รู้จะโกหกไปทำไมความที่สมาธิของท่านยังไม่แก่กล้า พอมีคนไปถาม ท่านก็ตอบมาแบบก้ำกึ่ง เพราะท่านก็กลัวว่าจะกลายเป็นพูดเท็จไป เมื่อท่านตอบมาแบบนี้ ก็เลยทำให้คนฟังหมดความมั่นใจ

     หลวงพ่อเองเมื่อสมัยก่อนบวช เมื่อเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ยังสงสัยเรื่อง นรก-สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่อยู่เหมือนเดิม แต่ก็หาใครตอบคำถามแบบกล้ายืนยันไม่ได้สักที จนกระทั่งเมื่อได้มาพบกับคุณยาย (คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) พอพบกันครั้งแรกก็ถามคุณยายทันทีว่า....

“ยาย เรื่องนรก-สวรรค์นี่มีจริงหรือไม่จริง?”

     คุณยายตอบแบบชัดเจนเลยว่า “มีสิคุณ”คุณยายตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจขนาดนั้นยังไม่พอ ยังยืนยันเพิ่มเติมด้วยว่า“ยายไปช่วยพ่อมาด้วยตัวเอง พ่อยายละโลกแล้วไปตกนรก เพราะว่าตอนมีชีวิตอยู่กินเหล้าทุกเย็น ยายไปช่วยมาเลยนะ อาราธนาพระธรรมกายในตัวไปช่วยมาเลย พ่อยายจึงได้พ้นนรก”

     หลวงพ่อก็ซักถามต่อว่า “ยาย คนที่ตกนรกไปช่วยกันได้หรือ?”

    “ได้สิคุณ”“แล้วอย่างผมจะมีโอกาสทำได้บ้างไหม ?” “ได้สิคุณ ยายนี่กอข้อไม่กระดิกหู (ก ข โบราณอ่านว่า กอข้อ) อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ยายยังทำได้ พวกคุณเป็นนักศึกษาเรียนจบตั้งเมืองนอกเมืองนา ถ้าตั้งใจจริง ๆ ทำไมจะทำไม่ได้”


     เพราะฉะนั้น เมื่อคุณยายตอบหนักแน่นอย่างนี้ ก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า

          ๑) นรก-สวรรค์มีจริงแน่
          ๒) ทุกคนมีสิทธิ์ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ไปนรก ไปสวรรค์ได้ แต่ว่าต้องขยันนั่งสมาธิ
          ๓) ผู้พูดได้ไปช่วยพ่อของตัวเองมาแล้วและก็ยืนยันด้วยว่าอย่างเราก็ทำได้

     ต่อมาภายหลัง คุณยายท่านก็เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า

     “หลวงปู่วัดปากน้ำท่าน ใช้คำว่า การไปนรก-สวรรค์เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับคนที่เข้าถึงพระธรรมกาย เพราะถ้ายากก็คงจะไม่มีคนทำได้ มันง่ายสำหรับคนที่ทำได้ แต่มันยากสำหรับคนที่ไม่ได้ทำ”หลวงพ่อก็ซักถามอีกว่า “ยาย ในโรงงานทำวิชชารุ่นเดียวกับยาย มีคนทำได้หลายคนไหม หรือว่าทำได้แต่เฉพาะยาย?”

    คุณยายก็ให้ความมั่นใจว่า “ในโรงงานทำวิชชาทำได้หลายคน ขอให้คุณขยันนั่งสมาธิให้มาก ๆ ก็จะทำได้เอง”

    ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังคลางแคลงสงสัยเรื่องนี้ ทางที่ดีก็คืออย่าเพิ่งเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ให้เอาความเชื่อไว้บนหิ้ง เอาความจริงมาพิสูจน์ พิสูจน์ด้วยการขยันนั่งสมาธิทุกวันพร้อมทั้งตั้งใจทำทานรักษา ศีลไปด้วย วันใดที่เราเข้าถึงพระธรรมกาย วันนั้นเราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นมาเองว่า การเข้าถึงธรรมมีจริงนรก-สวรรค์มีจริง และคำสอนที่บันทึกในพระไตรปิฎกเป็นความจริง ขอให้นั่งสมาธิต่อไปทุกวัน โดยมีหลักสำคัญว่าทำให้จริงและทำให้ถูกวิธี เพราะของจริงต้องคู่กับคนจริงเราถึงจะพิสูจน์ความจริงได้ด้วยตัวเราเอง



หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น