วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

เมื่อเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง หาผู้ที่ให้คำแนะนำปรึกษาไม่ได้ เราควรช่วยตัวเองอย่างไร?

คำถาม: เมื่อเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง หาผู้ที่ให้คำแนะนำปรึกษาไม่ได้ เราควรช่วยตัวเองอย่างไรคะ?
คำตอบ: เมื่อยังหาใครแนะนำช่วยเหลือไม่ได้ ก็ต้องช่วยตัวเอง ในยามที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดฝีมืออย่างนี้ บุญเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
“ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฐา โหนฺติ ปาณินํ”
“บุญเท่านั้นเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย”
ในยามที่ท้อแท้สิ้นหวัง
ในยามที่ท้อแท้สิ้นหวัง
        บุญเกิดจากการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เพราะฉะนั้นให้ทำ 3 อย่างนี้ คือ
        1. รักษาศีลของเราให้มั่นคง ไม่ให้ถลำไปในทางชั่ว
       2. เมื่อมีโอกาสพยายามทำทาน หรือให้ความช่วยเหลือผู้อื่น ตามกำลังความสามารถ
        3. หมั่นนั่งสมาธิมากๆ เมื่อใจสงบ ความท้อแท้สิ้นหวัง ความหดหู่จะจางหายไป แล้วเราจะเห็นช่องทางแก้ไขได้เอง
        หรือถ้าทำอย่างนี้ แล้วก็ยังหาช่องทางแก้ไขไม่ได้ ก็ลองไปวัด ไปขอคำแนะนำช่วยเหลือจากหลวงพ่อองค์ใดองค์หนึ่ง หรือจากผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในชีวิตมาก ท่านพอจะช่วยเหลือให้คำแนะนำที่ถูกต้องได้นะ

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

ชาวพุทธที่แท้จริง จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติอะไร

คำถาม: ดิฉันรู้จักกับคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ แต่เขามักเข้าไปร่วมกิจกรรมของศาสนาอื่นอยู่เสมอ บุญเขาก็ทำบาปก็ทำบ้าง มีความคิดแปลกๆ เขาเป็นพุทธแบบไหนกันคะ?

คำตอบ: ชาวพุทธที่แท้จริง จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติต่อไปนี้
        1) มีศรัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง และเป็นผู้มีคุณธรรมวิเศษสูงสุด ไม่ระแวงสงสัยในพระปัญญาธิคุณอันเลิศของพระองค์
        2) มีศีลบริสุทธิ์ คือพยายามรักษาศีล 5 ให้ได้เป็นอย่างน้อย เพื่อปกป้องตนเองให้พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย
        3) เชื่อกรรม ไม่ถือมงคลตื่นข่าว แต่เชื่อถือมงคลตื่นตัว คือมีความเข้าใจถูกในเรื่องโลกและชีวิต ตื่นตัวอยู่เสมอว่าบุคคลเมื่อทำดีย่อมได้ดีจริง ทำชั่วย่อมได้ชั่วจริง ไม่มีความสงสัยเคลือบแคลงใดๆ ทั้งสิ้น เลือกทำแต่ความดีให้เต็มตามความสามารถของตน
       4) ไม่แสวงบุญนอกพระพุทธศาสนา คือไม่เที่ยวแสวงบุญโดยเข้าร่วมพิธีกรรมในศาสนาอื่นด้วยความเต็มใจ เพราะคิดว่าจะได้บุญ ทั้งไม่กราบไหว้รูปเคารพของศาสนาอื่น แต่ก็ต้องไม่ล่วงเกิน ไม่วิจารณ์วัตถุอันเป็นที่เคารพของลัทธิศาสนาอื่นด้วย ตลอดชีวิตต้องขวนขวายในการอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนา
        5) ตั้งใจทำจิตให้บริสุทธิ์ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาให้ถูกวิธีของพระพุทธศาสนาโดยแท้
หน้าที่ชาวพุทธที่แท้จริง
หน้าที่ชาวพุทธที่แท้จริง
        ขอให้เราลองถามตัวเองกันดีกว่าว่า เราเองนั้นได้ทำตัวให้สมกับเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้วหรือยัง ถ้ายังก็รีบปรับปรุงแก้ไข อย่าให้เสียทีที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาก็แล้วกัน

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

อะไรเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม?

คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา

คำถาม: หลวงพ่อคิดว่า อะไรเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมครับ?



คำตอบ: พระพุทธศาสนาไม่มีวันเสื่อม มีแต่คนเรานี่แหละที่เสื่อมจากพระพุทธศาสนา สาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื่อมก็คือ คนพาล ทั้งพาลภายนอกและพาลภายใน        1) พาลภายนอก ได้แก่ คนที่ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา เขาจะนับถือศาสนาอื่นหรือไม่ก็ตาม แต่เขามีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา ในยามปกติก็พยายามกล่าวร้ายป้ายสีพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ว่าเลวอย่างนั้นอย่างนี้ หากเขามีโอกาส ก็จะบิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนา ให้คนอื่นเข้าใจไขว้เขว คนพาลประเภทนี้ คอยจ้องหาโอกาสทำลายพระพุทะศาสนาอยู่แทบจะทุกวันไป และก็มีจำนวนมากด้วย
คนพาลที่มีจิตมุ่งร้ายคอยจ้องทำลายพระพุทธศาสนา
        2) พาลภายใน ได้แก่ ชาวพุทธที่ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความคลางแคลงสงสัยในการตรัสรู้ของพระองค์ ไม่เคารพในพระธรรม คือไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง ไม่เคารพในพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไม่เคารพในการฝึกสมาธิ(Meditation)เพื่อ ทำให้จิตใจสงบ เมื่อขาดความเคารพอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทุกประการดังกล่าวนี้ เขาก็จะเป็นคนพาลภายในของพระพุทธศาสนา ตัวเขาเองก็จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ จากการเป็นชาวพุทธเลย

       เมื่อเป็นเช่นนี้นานไป เขาก็จะไม่เห็นคุณค่าในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น เมื่อคนพาลภายนอกเข้ามาทำลายพระพุทธศาสนา ด้วยวิธีการต่างๆ ก็จะไม่สามารถปกป้องพระพุทธศาสนาได้ เพราะตัวเองก็ขาดความเคารพในพระศาสนาอยู่แล้ว เมื่อขาดความเคารพก็จะไม่มีใจในการศึกษาหาความรู้ให้ถ่องแท้ ดีไม่ดีตกเป็นเครื่องมือของคนพาลภายนอกมาบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเสียเอง
        เราลองมาพิจารณาตนเองดูเถอะว่า ตัวเรานั้นบัดนี้ยังเป็นคนพาลอยู่หรือเปล่า และเราได้ทำหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้วหรือยัง

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)

เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

 

ถ้ามีใครว่าร้ายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ฟังจะทำอย่างไรดีครับ?

คำถาม: หลวงพ่อครับ ถ้ามีใครว่าร้ายพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้ฟังจะทำอย่างไรดีครับ?

คำตอบ: ก่อนอื่น อย่าเพิ่งโกรธเขา แต่ควรให้ความสงสารเขามากกว่า เพราะเขาช่างไม่รู้อะไรเสียเลย และกำลังหาบาปด้วยปากแท้ๆ ถ้ามีโอกาสก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาทราบความจริง จะได้ล้มเลิกความเป็นผิดนั้นเสีย คือต้องทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ช่วยแก้ข้อสงสัยต่างๆ ให้เขาด้วยเหตุผล เพื่อปลูกฝังความเห็นถูกให้ เขาจะได้ไม่ผิดพลาดอีกต่อไป แต่การที่เราจะทำอย่างนี้ได้นั้น เราเองจะต้องประพฤติตนดังนี้
ถ้ามีใครมาว่าร้ายพระรัตนตรัยก็อย่างเพิ่งโกรธเขาควรให้ความสงสารโดยเป็นกัลยาณมิตรให้เขา
ถ้ามีใครมาว่าร้ายพระรัตนตรัยก็อย่างเพิ่งโกรธเขาควรให้ความสงสารโดยเป็นกัลยาณมิตรให้เขา
        1) ฝึกตัวเองให้เป็นคนมีใจหนักแน่น มั่นคง แต่ความคิดต้องไม่คับแคบ แบบตีกรอบไปเสียทุกเรื่อง ต้องทำใจเปิดกว้าง อดทน ต่อการว่าร้ายจากผู้ที่เราหวังดี แล้วพยายามเข้าไปชี้ทางถูกให้ ซึ่งการจะกระทำอย่างนี้ได้ ก็ต้องอาศัยการฝึกสมาธิ(Meditation)เป็นประจำทุกวัน
        2) ต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจจริงๆ จนสามารถอธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจตามได้ ในกรณีที่เรายังไม่สามารถแก้ความเห็นผิดให้แก่เขาได้ ให้พยายามชี้ชวนชักนำให้เขาไปหาผู้ที่มีความรู้ดีจริงๆ ให้ช่วยแก้ไขความเห็นผิดของเขา วิธีนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย
        3) ประพฤติธรรมอย่างเคร่งครัด จนปรากฏผลออกมาเป็นบุคลิกภาพที่น่าเลื่อมใส เพื่อจะได้เป็นพยานแก่พระศาสนาว่า การประพฤติปฏิบัติธรรม การมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้น ส่งผลให้ชีวิตราบรื่นเป็นสุขได้จริง เป็นการทำให้ดู แทนการพูดปากเปล่า

คำถาม: คุณแม่ห้ามไม่ให้มาวัดพระธรรมกาย เพราะกลัวจะบวชตลอดชีวิต จะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรครับ?

คำตอบ: ทำหน้าที่ในบ้าน หรือเรื่องการเรียนให้เรียบร้อย แล้วให้หมั่นมาวัดเรื่อยๆ คุณแม่ท่านบ่นว่าหนักๆ เข้า ไม่นานท่านก็จะเลิกว่าเองเพราะเรามาวัดเพื่อทำความดี มาฝึกนิสัยดีๆ ซึ่งไม่นานบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสได้
มาฝึกนิสัยดีๆ แล้วบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสศรัทธาได้
มาฝึกนิสัยดีๆ แล้วบุคลิกของเราจะเรียบร้อย ดูผ่องใส เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสศรัทธาได้
        คุณพ่อ คุณแม่มีลูกใจบุญสุนทาน น่าจะดีกว่ามีลูกเป็นจิ๊กโก๋นะ ค่อยๆ พูดอธิบายให้ท่านฟังดีๆ ท่านจะได้เข้าใจและไม่กลัวผิดๆ อีก
คำถาม: จะชวนคุณแม่ให้มาเข้าวัดได้อย่างไร?
คำตอบ: พยายามให้ตัวเองได้มีโอกาสมาวัดเสียก่อนเถอะ อย่าเพิ่งไปห่วงท่านเลย มาวัดทีแรกแม่ไม่ให้มา แต่นานๆ เข้าถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าแม่ก็ตามมาวัดด้วยเองแหละ
ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าคุณแม่ก็ตามมาวัดด้วยเอง
ถ้าเราเปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่ช้าคุณแม่ก็ตามมาวัดด้วยเอง
        พระของวัดธรรมกายเกือบ ทุกรูปเจอปัญหานี้ หลวงพ่อยังจำได้ หลวงพี่มหาชิโตที่คุมการก่อสร้างของวัด ในปีแรกท่านยังไม่ได้บวช เพิ่งจบวิศวกรรมศาสตร์มาใหม่ๆ ท่านมาช่วยงานวัดอยู่ได้ประมาณหนึ่งอาทิตย์ แม่ก็ร้องไห้ จนพี่ชายพี่สาวมาตามตัวกลับ ท่านก็ดีไม่เถียงสักคำ แม่และพี่มาตามให้กลับก็ไปแต่งตัว เสร็จเรียบร้อยก็เดินตามกลับไป รุ่งขึ้นเช้าประมาณ 6 โมงหลวงพ่อไปเปิดประตูวัด เห็นท่านมาถึงพอดี ก็ถามท่านว่า “ทำไมกลับมาแล้วล่ะ” ท่านบอกว่า “เขามาตามผมกลับ ผมก็ไป แต่เขาไม่ได้ผูกขาผมไว้ ผมก็กลับมาใหม่” อีก 2-3 วันแม่ก็ มาตามอีก ท่านก็ดี แต่งตัวเสร็จก็เดินตามแม่กลับไป รุ่งขึ้นก็มาแต่เช้า คราวนี้มาถึงตั้งแต่ตี 5 เลย ทั้งพ่อแม่และพี่มาตามกลับ 3-4 ครั้ง ท่านกลับไปแล้ว ก็กลับมาอีก ตอนหลังทางบ้านเลยเลิกตาม ตอนนี้ท่านบวชมาได้ประมาณ 10 พรรษาแล้วท่านไม่เคยเถียงพ่อแม่เลย ตำราเล่มนี้พระของเรานำมาใช้ได้ผลหลายรูปสร้างวัดมาได้ไม่ถึง  10 ปี มีผู้ตั้งใจบวชไม่สึกไปแล้ว 15 รูป จะเอาไปใช้บ้างก็ได้นะ


โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 

ทำไมจึงว่า “ความรักเป็นความทุกข์” ?

คำถาม: หลวงพ่อคะ ทำไมจึงว่า “ความรักเป็นความทุกข์” คะ?
คำตอบ: ความรัก โดยเฉพาะความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูปของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยน้ำตาล เพราะเมื่อความรักเกิดขึ้นในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความหวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่งหวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากน้ำตา
ความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์
ความรักระหว่างหญิงชาย คือต้นเหตุแห่งความทุกข์
        เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรัก ก็ไม่ต้องเสียน้ำตาและจะเป็นคนมีความสุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรักระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือเมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำให้เป็นทุกข์อยู่ดี
        ตั้งแต่โบราณกาลมา หญิงชายคนใดสามารถครองตัวเป็นโสดหรือออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ได้ มักได้รับการยกย่องสรรเสริญว่าเป็นบุคคลที่ฉลาดในการดำเนินชีวิต เพราะอย่างน้องที่สุด แม้จะไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องประสบกับความทุกข์จร คือทุกข์ที่ผ่านมาเป็นครั้งคราว ได้แก่ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความน้อยใจ ความคับแค้นใจ การประสบสิ่งที่ไม่ชอบใจ การพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ความทุกข์เหล่านี้หมุนเวียนกันเข้ามาให้เผชิญทุกรูปแบบโดยไม่จำเป็น
        ในพระพุทธศาสนา จึงสรรเสริญคนอยู่เป็นโสดตลอดชีวิตว่า เป็นผู้ฉลาดเลี่ยงทุกข์ และยิ่งกว่านั้นคนโสดยังมีโอกาสสร้างบุญบารมีแสวงหาความสุขทางธรรมได้โดยสะดวกอีกด้วย
คำถาม: นมัสการหลวงพ่อที่เคารพสูงสุด ลูกขอถามว่าความรักเป็นเรื่องความหวังดี บริสุทธิ์ หรือเป็นเรื่องกิเลส?
คำตอบ: ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์ แต่ถ้ารักชาวบ้าน ยังต้องถามต่อว่ารักแบบไหน ถ้าเป็นความรักความสงสาร โดยไม่มีราคะความใคร่เจือปน เขาเรียกว่า เมตตา รักแบบนี้พอใช้ได้นะ
ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์
ถ้าเป็นความรักตัวเองอย่างนี้ดี เป็นความหวังดี บริสุทธิ์
        หากรักเพราะมีราคะ คือ รักแบบอยากให้เขามาอยู่ด้วยใกล้ๆ หรือตามเขาต้อยๆ ไป เข้าทำนองไม่เห็นหน้าเจ้า กินข้าวไม่ลงคอ รักแบบนี้ความจริงไม่ใช่หวังดี หรือบริสุทธิ์หรอก คิดจะผูกเขาไว้กับตัวหรืออยากให้เขาผูกเราไว้
        สิ่งมีชีวิตประเภทที่ต้องผูกไว้หรือจูงไปเขาเรียกอะไร? เพราะฉะนั้นถ้าไปรักใครแบบนี้ให้รีบถอนตัวออกมาเสียเถอะนะ แต่ถ้าจะให้ดีจริงๆ ไม่ต้องไปรักใครหรอก นั่งสมาธิเยอะๆ แล้วจะหายโง่เอง


โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปัญหาสามีเจ้าชู้จะแก้อย่างไร?

คำถาม: หญิงที่สามีเจ้าชู้จะแก้ปัญหาอย่างไรคะ?

คำตอบ: สามีเจ้าชู้หรือคนเจ้าชู้ มีเหตุ 2 ประการ คือ
    1. เจ้าชู้เพราะแม่บ้านบกพร่องต่อหน้าที่ สำหรับกรณีนี้เป็นเรื่องที่แม่บ้านต้องแก้ไขตัวเอง โดยพยายามค้นหาข้อบกพร่องของตัวเองให้พบ แล้วก็ต้องยอมรับว่าตนเป็นอย่างนั้นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องค่อนข้างยาก
        การค้นหาข้อบกพร่องของตนเองมีความจำเป็นที่จะต้องทำใจให้สงบเสียก่อน ซึ่งไม่มีวิธีไหนดีเกินกว่าการนั่งสมาธิ(Meditation) เป็นประจำทุกคืน เพราะคนเรานั้นเมื่อเวลาลืมตามักเห็นแต่ข้อบกพร่องของคนอื่น ความผิดของคนอื่นแม้เล็กน้อยก็มองว่าใหญ่โตร้ายแรง ส่วนความผิดของตัวเองแม้ร้ายแรงใหญ่โตกว่าภูเขาก็ยังมองไม่เห็น แต่เมื่อหลับตานั่งสมาธิไม่เห็นใครอื่น กลับเห็นตัวเองในมโนภาพ ความบกพร่องของตัวเองก็จะค่อยๆ ลอยเด่นขึ้นมาให้เห็น ยิ่งใจสงบเท่าไร ก็ยิ่งเห็นข้อบกพร่องมากขึ้นเท่านั้น
        คนเราขอให้เห็นความผิดพลาดบกพร่องของตัวเองเถิด หนทางแก้ไขจะมีมาเอง แต่มีข้อเตือนใจอยู่อย่างหนึ่งสำหรับท่านที่มีสามี คือ ห้ามไปหาหมอทำเสน่ห์เด็ดขาด และอย่าทำอะไรรุนแรงเป็นการประชดประชัน เพราะนั่นมิใช่เป็นการแก้ปัญหา แต่จะยิ่งเป็นการเพิ่มปัญหาไม่รู้จบ
สามีเจ้าชู้
สามีเจ้าชู้
        นอกจากนี้ ยังมีอีกวิธีหนึ่งเป็นวิธีประกอบ คือให้ปรึกษาผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขาเป็นคนดีมีศีลธรรม และมีความสำเร็จในการครองเรือน ซึ่งอาจจะไม่ใช่พ่อแม่ หรือญาติของเราก็ได้
    2. เจ้าชู้โดยนิสัย สำหรับกรณีนี้แก้ยากสักหน่อย ก็ต้องทนเอาก็แล้วกัน นึกว่าเป็นกรรมของเราที่ดูคนไม่เป็น ไปเลือกคนอย่างนี้มาเป็นสามี ก็ให้เราตั้งใจทำหน้าที่ภรรยา หน้าที่แม่บ้านให้ดี ไม่ให้บกพร่อง ทำบ้านให้เย็น คือไม่เอาเรื่องร้อนหูร้อนใจเข้าบ้าน ไม่ด่าว่าให้สามีอับอายแค้นเคืองใจ
        ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น ก็แก้ไขเหตุการณ์เฉพาะหน้าเป็นเรื่องๆ ไป ส่วนการแก้ไขนิสัยพ่อบ้านเจ้าชู้คงต้องใช้เวลา คือ พยายามทำความดีให้มากเข้าๆ จนกระทั่งเขาเกรงใจ ในที่สุดเขาก็จะเลิกเจ้าชู้ไปเอง ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นอายุของทั้งสองคนอาจจะล่วงเลยไปคนละหลายสิบปี ก็คงทำได้เท่านี้เอง

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)

เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 

เป็นทหารเพราะผลกรรมที่กระทำไว้ในอดีตชาติใช่หรือไม่?


 

คำถาม: ผู้ที่เข้ารับการคัดเลือกทหารแล้วปรากฏว่าถูกทหาร แสดงว่าเป็นเพราะผลกรรมที่กระทำไว้ในอดีตชาติใช่หรือไม่?

 
คำตอบ: ใครเป็นคนบอกคุณ หลวงพ่อว่าคุณมองมุมผิดแล้วนะ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นทหารนับว่าเป็นคนโชคดี ที่จะได้รับการฝึกวินัย หลวงพ่อจะเล่าให้ฟัง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงบันทึกความเห็นส่งไปให้ด๊อกเตอร์ฟรานซิสปีส์แยสส์หรือพระยากัลยาณ ไมตรี ซึ่งเป็นทูตอเมริกันประจำประเทศไทยในยุคนั้นทรงปรารภไว้ในบันทึกว่า ในสมัยรัชกาลของพระองค์นั้น คนไทยทั้งประเทศ ซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 6 หรือ 8 ล้าน แต่ทั้งประเทศมีชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย อ่านเผินๆ แล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า เอ๊ะ...เป็นไปได้อย่างไร?
 
        พระองค์ทรงอธิบายว่า สมัยนั้นคนที่อยู่ตั้งแต่จังหวัดพิษณุโลกขึ้นไปจนกระทั่งถึงเชียงใหม่ เขามีความรู้สึกว่าเขาเป็นชาวล้านนา เป็นชาวเหนือ เป็นคนเมือง ไม่ใช่คนไทย ส่วนคนที่อยู่ตั้งแต่จังหวัดนครราชสีมา ไปจนกระทั่งจรดฝั่งโขง เขาก็มีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนลาว ไม่ใช่คนไทย และตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป เขาก็บอกว่าเขาเป็นคนปักษ์ใต้ ไม่ใช่คนไทย ตกลงคนที่มีความรู้สึกว่าเป็นคนไทยจะอยู่แถวๆ กรุงเทพฯ กับรอบๆ กรุงเทพฯ อีกไม่กี่จังหวัด ยิ่งกว่านั้นจังหวัดที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ นี่ก็เป็นชาวจีนต่างด้าวเสียอีกตั้งมาก ตกลงเป็นอันว่าคนที่มีความรู้สึกว่า ตนเป็นคนไทยมีน้อยกว่าคนที่รู้สึกว่าตนเป็นคนต่างชาติ จากบันทึกนี้แสดงว่า พระองค์ท่านทรงปริวิตกถึงความรู้สำนึกในความเป็นคนไทยของคนไทยมาก
 
การเกณฑ์ทหาร
การเกณฑ์ทหาร
 
        ต่อมาไม่นานก็ทรงดำริว่า ถ้าหากขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปในขณะที่ลัทธิล่าเมืองขึ้นกำลังระบาด ความพินาศจะเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทย จึงทรงดำเนินนโยบาย 4 ประการ คือ
 
        1. ให้มีการเกณฑ์ทหาร ชายไทยทุกคนเมื่อเป็นหนุ่มฉกรรจ์มีอายุ 20 ปี จะต้องเป็นทหาร ต้องเกณฑ์มาฝึกวินัยให้หมด ให้มาเป็นกำลังของชาติ
 
        2. แต่งเพลงชาติให้ร้อง เพราะตอนนั้นยังไม่มีเพลงชาติเพื่อให้คนไทยที่อยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ได้มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นคนไทยเหมือนกัน แรกๆ ก็ให้ทหารเกณฑ์ร้องก่อน แล้วฝึกวินัยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านไป 3 ปี 5 ปี 10 ปี ทหารพวกนี้และประชาชนทั่วไปจึงเกิดมีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนของประเทศไทย ฉันคือคนไทย
 
        3. บังคับให้เรียนภาษาไทย ภาษาพื้นเมืองนั้น ใครจะเรียนก็ไม่ว่า ที่สำคัญต้องเรียนภาษาไทยกลางด้วย ไม่อย่างนั้นจะเกิดกรณีว่าอยู่ในประเทศเดียวกัน แต่ใช้กันคนละภาษาแล้วก็ทะเลาะกัน นี่ คือความอึดอัดขัดพระทัยของพระองค์ท่าน การสร้างความรู้สึกว่าฉันเป็นคนไทย ไม่ใช่ทำง่ายๆ ต้องลงทุนกันถึงขนาดนี้ ยังไม่พอ ยังทรงวางนโยบายต่อไปอีก คือ
 
        4. ตั้งกองเสือป่าขึ้น เพื่อให้ข้าราชการต่างๆ ปรองดองกันเกิดความสมานสามัคคีกัน (ทำนองเดียวกันกับลูกเสือชาวบ้านในปัจจุบัน)
 
        พระบาทสมเด็กพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อทรงกำหนดนโยบายไว้อย่างนี้แล้ว ในทางปฏิบัติทรงทำอย่างไร ให้ผู้รับไปปฏิบัติเข้าใจ ขอใช้คำว่าพระองค์ทรงเทศน์เองเลย จำได้ไหมหนังสือที่เราเคยได้อ่านกันเรียนกัน ชื่อหนังสือ “เทศนาเสือป่่า” และ “พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อะไร” นอกจาก 2 เล่มนี้พระองค์ยังทรงเขียนหนังสือไว้อีกมากมาย เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนทั้งแผ่นดินว่าเป็น คนไทย
 
        ปัจจุบันนี้วิกฤติการณ์ล่าเมืองขึ้นลดลงแล้ว พวกเราก็เลยเริ่มประมาทและไม่เห็นคุณค่าของการเป็นทหารด้วย ขอให้เรามองความเป็นไทยให้ชัดๆ แล้วรู้ไว้ด้วยว่า โรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้วมีผลต่อความอยู่รอดของชาติไทยอย่างมาก ขณะนี้ ก็คือโรงเรียนของทหารเกณฑ์ทั้งหลายนั่นเอง พวกเราที่ไม่เคยเป็น เขาฝึกทหารเกณฑ์ พูดให้ฟังก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ทหารเกณฑ์บางคนมาจากถิ่นทุรกันดารขาดการศึกษาก็มี ซ้ายหันขวาหัน มือซ้ายมือขวาไม่รู้จักหรอก ต้องเอาเชือกผูกข้อมือเป็นเครื่องหมายไว้ว่า นี่คือข้างซ้าย เอ็งจำเอาไว้นะข้างขวามือเปล่า ถ้าข้าบอกว่าซ้ายหมายถึงข้างที่ผูกเชือกเอาไว้
 
การฝึกทหารเกณฑ์
การฝึกทหารเกณฑ์
 
        นี่เขาต้องทำกันถึงขนาดนี้ การฝึกให้เกิดความสำนึกขึ้นมาว่า คนทุกหมู่ทุกเหล่าบนผืนแผ่นดินไทย ต้องมีความสำนึกของความเป็นคนไทยนี้ ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ไม่ทรง วางพื้นฐานไว้ บ้านเมืองเราคงมาไม่ถึงขนาดนี้หรอก
 
        พระราชปรารภอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความกังวลพระทัยมาก คือ เรื่องการเงินของประเทศ เนื่องจากเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพัฒนาประเทศ พัฒนาคน ต้องทรงใช้ เงินในท้องพระคลังมาก ไม่ใช้ไม่ได้ เพราะขณะนั้นประเทศที่เขาเรียกตัวเองว่าเจริญแล้วกำลังล่าเมืองขึ้นกันอยู่ หลายๆ ประเทศต่างก็จ้องตาเป็นมันมาที่ประเทศไทย
 
        จนพระองค์ต้องทรงเร่งสร้างสาธารณูปโภค เพื่อให้คนไทยติดต่อกันได้ทั้งแผ่นดิน ทรงสร้างทางรถไฟ วางโทรศัพท์ สร้างถนน ฯลฯ ครั้งนั้นเงินหมดท้องพระคลังไปมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ
 
        พอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ขึ้นครองราชย์ เงินในท้องพระคลังแทบไม่มี แต่ว่าจะต้องมาจัดระบบต่างๆ อีกสารพัดรูปแบบ เพื่อรักษาแผ่นดินไทยเอาไว้ให้ได้ คนที่ไม่เข้าใจก็หาว่าพระองค์ผลาญเงินผลาญทองของประเทศ ทำให้ประเทศชาติล่มจม พระองค์ไม่รู้จะไปอธิบายกับใคร ก็ได้แต่บันทึกไว้ แล้วตั้งพระทัยทำงาน ทรงลุยงานไปตลอด เพราะเหตุการณ์มันบังคับ ขณะนั้นทั่วโลกก็เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนัก เศรษฐกิจย่ำแย่กันไปทั้งโลก จนกระทั่งเกิดสงครามโลก ประเทศไทยเราก็พลอยฟ้าพลอยฝนรับเคราะห์ไปด้วย
 
        เพราะฉะนั้น ในตอนปลายสมัยของพระองค์จึงมีผู้เตรียมการจะปฏิวัติกันต่างหลายครั้ง เพราะไม่เข้าใจกัน หาว่าพระองค์ผลาญเงินผลาญทอง แต่ก็ยังดีที่พระองค์ทรงประคับประคองมาได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ว่าเลยมาตกหนักในรัชกาลที่ 7 ถึงกับต่อเปลี่ยนแปลง การปกครอง เกิดการปฏิวัติ โดยคณะราษฎร์ ในปี พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ประทานรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ ยังไม่มีการเตรียม ความรู้ ความเข้าใจให้พร้อมสำหรับประชาชนทั้งชาติพระองค์ก็ไม่ทรง โต้ตอบ รอว่าอีกหน่อยก็รู้เอง ซึ่งก็เป็นความจริง แม้เปลี่ยนแปลงการ ปกครองมาถึงเดี๋ยวนี้ เราทำอะไรได้เท่าไหร่ก็คงจะรู้กันดีแล้ว
 
        ยังดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงเริ่มฝึกคนเอาไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น สมัยสงครามโลกครั้งนี้ 2 แผ่นดินไทยคงราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว ความจริงเรื่องนี้จะมีใครรู้สักกี่คน เพราะฉะนั้นไปเถอะไปเป็นทหารเกณฑ์เสียดีๆ เป็นโชคดีไม่ใช่โชคร้ายหรอกนะ
 
โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC

 

ถ้าเราตั้งใจทำงานในอาชีพเราอย่างซื่อตรงถือเป็นการสร้างบุญไปด้วยใช่หรือไม่?

คำถาม: หลวง พ่อคะ ลูกอยากให้การทำงานที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นทั้งการประกอบอาชีพด้วย และเป็นการสร้างบุญไปด้วยเข้าใจว่าถ้าเราตั้งใจทำงานอย่างซื่อตรงต่ออาชีพ ของเราแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสร้างบุญไปด้วยใช่ไหมคะ?

คำตอบ: ไม่แน่ มันอยู่ที่งาน แล้วก็อยู่ที่ใจประกอบกัน มีงานอาชีพ ที่ไม่ชอบธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นการค้าขายที่ผิดศีลธรรม ไม่ควรทำมีอยู่ 5 อย่าง ซึ่งทำแล้วเป็นการก่อเวร ไม่มีทางเป็นบุญได้ คือ
        1. ค้าอาวุธ
        2. ค้ามนุษย์
        3. ค้าสัตว์สำหรับฆ่าเป็นอาหาร
        4. ค้าของเมาสิ่งเสพติด
        5. ค้ายาพิษ
        ส่วนงานอาชีพต่างๆ ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ บางงานก็เป็นบุญ บางงานก็ไม่เป็น ไปเทียบดูเอานะ จะยกตัวอย่างให้ดูเกี่ยวกับงานของคนรับจ้างทำงานในวัด เช่น งานปลูกต้นไม้ ซึ่งเป็นงานกลางๆ  ไม่บุญไม่บาป แต่เนื่องจากคนปลูกมีระดับจิตใจต่างกัน ทำให้ได้ผลต่างกันเป็นระดับๆ ไป
ตั้งใจทำงานอย่างซื่อตรงต่ออาชีพของเราเอง
        เรื่องนี้คุณยายอาจารย์ของ หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า วันหนึ่งคุณยายเดินตรวจบริเวณวัด เห็นคนงานกำลังปลูกต้นไม้กันอยู่ ก็แวะเข้าไปดูแล้วได้ถามคนงานในกลุ่มนั้นว่า
        “เวลาปลูกต้นไม้คิดอย่างไร” คนหนึ่งวัยรุ่นหน่อย ก็ตอบว่า “คิดว่าอย่าตายนะเดี๋ยวต้องปลูกใหม่ หลวงพ่อจะเอ็ดเอา”
        อีกคนหนึ่งตอบว่า “ขอให้โตเร็วๆ จะได้ชื่นใจ” อ้าว..แล้ว ไม่กลัวมันตายเรอะ “ไม่กลัวครับเพราะผมปลูกมาเยอะแล้ว” อีกคนอายุมากหน่อยตอบว่า “ขอให้โตเร็วๆ ใครมาวัดมานั่งโคนต้นไม้ ให้เขานั่งให้สบาย ฟังเทศน์ของหลวงพ่อแล้ว ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ถ้าเป็นอย่างนี้จะดีใจมากๆ เลย
        คุณยายบอกว่า ปลูกต้นไม้แต่ละต้นเสียเวลาเท่าๆ กัน คนฉลาดเหนื่อยเท่ากับคนอื่น แต่ได้บุญด้วย อย่างเช่นคนงาน 3 คนนี้
        คนที่ 1 เหนื่อยแล้วยังกังวล ชีวิตนี้ไม่เป็นสุข
        คนที่ 2 เหนื่อยแล้วไม่กังวล เพราะฝีมือดี ทำตามหน้าที่เป็นกลางๆ ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป
        คนที่ 3 เหนื่อยแล้วได้บุญเนื่องจากตั้งใจไว้ดี หน้าตาผ่องใส
        เพราะฉะนั้น เวลาจะทำงานอะไร ไหนๆ ก็เหนื่อยแล้ว ตั้งใจให้ได้บุญด้วยจะดีกว่า พอจะชักนำใครให้ทำดีได้ ก็ทำไปตามขอบเขตหน้าที่ซึ่งจะทำได้ แล้วเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีของเราด้วย

คำถาม: สิ่งปลูกสร้างหลังแรกของวัดพระธรรมกายได้แก่อะไร? (พระเรียนถามมา)

คำตอบ: สิ่งแรกที่จำเป็นต้องใช้ ต้องก่อสร้างก่อน คือ สำนักงาน เมื่อแรกเริ่มที่มีเพียงที่ดินโล่งๆ เราก็ทำเป็นกระต๊อบให้พออยู่อาศัยกันไปเพิ่งมาเป็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างขณะ นี้ในระยะหลัง ระยะแรกเป็นกระต๊อบออฟฟิศ พอผุๆ พังๆ แล้วก็รื้อไป พวกเราที่มาภายหลังเลยไม่ได้เห็นกันนะ
        ตอบเรื่องนี้แล้ว ก็มีข้อแนะนำอีกเรื่องหนึ่ง เผื่อจะเป็นประโยชน์ คือตามวัดต่างๆ มีสิ่งที่ฆ่าตัวเองอยู่ลักษณะหนึ่ง คือเวลาก่อสร้างมักจะก่อสร้างบริเวณข้างหน้าที่ติดถนน ติดคลองก่อน สมมติสร้างศาลาไว้หลังหนึ่ง พอต่อมามีความจำเป็นจะต้องสร้างสิ่งก่อสร้างหลังที่ 2 จะเป็นโบสถ์หรือเป็นอะไรก็ตาม ท่านคิดว่าโยมที่เป็นเจ้าภาพเขาอยากจะให้สร้างข้างหน้า หรือข้างหลังของเดิม
สิ่งปลูกสร้างของวัดพระธรรมกาย
สิ่งปลูกสร้างของวัดพระธรรมกาย
        ตอบว่าข้างหน้า เมื่อสร้างข้างหน้า จะสร้างตรงไหนก็ตาม อย่างมากก็ 2-3 หลังเท่านั้นก็เต็มหมด ข้างหลังที่ว่างอีกมาก ก็ใช้ไม่ได้ เริ่มต้นสร้างอย่างนี้เรียกว่าฆ่าตัวตาย ไม่ควรทำ วัดพระธรรมกายของเราเมื่อเริ่มสร้าง เราสร้างสำนักงานเข้ามาในช่วงกลางของที่ดินทั้งผืน จากนั้นที่ข้างหน้าก็สร้างศาลาสำหรับฟังธรรม และใช้เป็นที่สร้างโบสถ์ สร้างเสร็จแล้วเรายังมีที่ในบริเวณข้างหน้าเหลืออีกมากมายเลย จนกระทั่งมาทำลานจอดรถ มาทำสระน้ำ มาทำอะไรอีกตั้งหลายอย่าง
        เพราะฉะนั้นอย่าสร้างอะไรเป็นกระจุกอยู่ข้างหน้า ควรจะเริ่มบริเวณกลางๆ พื้นที่ก่อน ยอมเดินไกลสักหน่อย จากนั้นก็แบ่งส่วนที่เป็นกุฏิก็ให้ไปอยู่ข้างหลัง ส่วนที่เป็นอาคารธรรมาวาส พุทธาวาสก็ขึ้นไปข้างหน้า วางผังอย่างนี้แล้วจะสะดวกหลายอย่าง
        สรุปที่ถามว่าสร้างอะไรก่อน-หลัง ตอบว่าอาคารหลังแรกที่สร้างขึ้นมา คือกระต๊อบที่ทำงาน หลังที่ 2 คือครัว ก็กองทัพเดินด้วยท้องนี่นะ มีที่ทำงาน มีโรงครัว จากนั้นค่อยๆ สร้างสิ่งที่จำเป็นอื่นๆ ไปตามลำดับ

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียงจากรายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC
 

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?

ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานบันทึกไว้มากมายว่า นรก-สวรรค์มีจริง
แต่ทำไมคนจำนวนไม่น้อยยังสงสัยว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?


      เมื่อสมัยก่อนที่หลวงพ่อจะบวช ความสงสัยเรื่องนรก-สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ก็เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อเหมือนกัน เพราะว่าการหาครูบาอาจารย์ในทางธรรมที่กล้ายืนยันว่านรก-สวรรค์มีจริง นับวันจะหาได้น้อยเต็มที

     ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีเจริญเต็มที่ ถ้าหากมีพระอาจารย์รูปใดยืนยันว่ามีจริง ก็มักจะถูกผู้ที่ไม่เชื่อออกมากล่าวโจมตีว่า เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่ ซึ่งทำให้ ประชาชนทั่วไป แม้แต่ชาวพุทธก็ชักลังเลว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่มีจริง ทั้งๆ ที่เรื่องสวรรค์และนรกนี้เป็นเรื่องราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรม ไว้มากมาย แล้วก็มีการบันทึกเป็นหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎกมาเป็นพัน ๆ ปี

     เมื่อสมัยหลวงพ่อยังเรียนอยู่ชั้นประถมต้น ก็เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง เพราะผู้ใหญ่บอกไว้ตั้งแต่จำความได้ แต่พออยู่ประมาณชั้น ป.๔ ก็เริ่มไม่แน่ใจ เพราะมีผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เชื่อมาพูดให้ได้ยินว่านรก-สวรรค์ไม่มีจริง

     เมื่อความเห็นของผู้ใหญ่แบ่งเป็น ๒ กลุ่มแบบนี้ หลวงพ่อเองแม้เป็นเด็กแต่ก็ต้องการคำยืนยันจากผู้ใหญ่ แต่ก็ปรากฏว่าหาผู้ที่กล้ายืนยันแบบชัด ๆ ไม่ค่อยได้

     หลวงพ่อนำคำถามนี้ไปถามพระ ถามครูถามลุงป้าน้าอา เพื่อต้องการคำยืนยันว่าสวรรค์-นรกมีจริงหรือไม่มีจริง แล้วก็พบว่าผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะตอบแบบก้ำกึ่งว่ามันน่าจะมีเพราะว่าในพระ ไตรปิฎกมีบันทึกไว้มาก แต่ว่าท่านเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง

     การที่ท่านเชื่อว่าน่าจะมี ก็เพราะว่าพระไตรปิฎกนั้นเป็นบันทึกของพระอรหันต์ไม่ใช่บันทึกของชาวบ้าน ปุถุชน แล้วในการที่คัดลอกต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ บรรพบุรุษของเราในยุคโน้นก็ไม่มีเหตุผลว่าจะโกหกเราไปทำไม เพราะท่านก็ไม่ได้อะไรจากการที่คัดลอกพระไตรปิฎกไว้เป็นมรดกให้แก่ลูกหลาน


     การคัดลอกพระไตรปิฎกนั้น หลวงพ่อยังทันได้เห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก สมัยนั้นเวลาเขาคัดลอกลงใบลาน กว่าจะได้ใบลานมาใช้งานเขาก็ต้องลงแรงกันมากทีเดียว

     เขาต้องไปเลือกใบลานก่อน เลือกแล้วเลือกอีกอยู่นาน แล้วก็นำมาตาก นำมาผึ่งแดดแล้วก็นำมาตัด นำมากรีด จนกระทั่งได้ขนาดที่พอดี แล้วก็ใช้เหล็กเขียนตัวอักษรลงไปบนใบลาน

     การเขียนอักษรบนใบลาน เขาใช้คำศัพท์ว่า “จาร”

     คำว่า “จาร” แปลว่า “เขียน” การใช้เหล็กจารก็คือ การใช้เหล็กเขียน โดยมีด้ามจับเป็นไม้ แล้วตรงปลายมีเหล็กแหลมใช้เขียนลงไปบนใบลาน

     เวลาเขียนต้องกดปลายเหล็กแหลม ๆให้กินลงไปในเนื้อของใบลาน พอเขียนเสร็จหมด ๑ ใบแล้ว ก็ต้องเอาน้ำมันของต้นยางผสมกับดินหม้อดำๆ ที่ได้มาจากก้นหม้อก้นกระทะ พอผสมได้ที่แล้วก็จะได้น้ำมันยางเป็นสีดำ แล้วเขาก็ทาลงไปที่ใบลาน

     เมื่อทาลงไปแล้ว น้ำมันยางกับดินหม้อดำ ๆ ก็แทรกเข้าไปในเนื้อของใบลาน แล้วเขาก็ใช้ผ้าค่อย ๆ เช็ดสีดำ ๆ ที่เปื้อนใบลานอยู่ออกไป ก็จะเหลือแต่สีดำ ๆ ฝังไว้ในรอยขีดรอยเขียนบนใบลาน

     เพราะฉะนั้น กว่าจะเขียนใบลานได้แต่ละใบ ไม่รู้เขาเมื่อยเขาเหนื่อยกันขนาดไหนถ้าเขียนผิดพลาดตัวหนึ่งก็ต้องทิ้งทั้ง แผ่นเพราะลบไม่ได้ การเขียนพระไตรปิฎกในอดีตจึงเหนื่อยหนักหนาสาหัสนัก

     เมื่อตอนหลวงพ่อยังเด็กก็เคยได้ยินผู้ใหญ่รุ่นนั้นท่านบ่นเหมือนกันว่า วันนี้เขียนได้ตั้ง ๒ แผ่น ๓ แผ่น เมื่อยมือเมื่อยหลังไปหมดเลยหลวงพ่อเป็นเด็กก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากก็เลย ถามท่านว่า ถ้าเมื่อยแล้วจะไปเขียนทำไมท่านก็บอกว่า “ฉันจะเอาบุญ” หลวงพ่อก็เลยได้คิดว่า ที่ท่านมานั่งหลังขดหลังแข็งจารึกพระไตรปิฎกลงใบลานเป็นวัน ๆ ก็เพราะว่า ท่านจะเอาบุญ ท่านไม่ได้รับจ้างเขียนหนังสือ ไม่ได้รับจ้างเขียนใบลาน
     การที่หลวงพ่อใช้คำว่าท่าน ก็เพราะว่ามีทั้งพระ มีทั้งฆราวาสที่ผ่านการบวชแล้ว มาช่วยกันเขียนฆราวาสก็คืออดีตพระ เพราะผู้ชายอายุครบ ๒๐ ปีในยุคโน้น ก็บวชเรียนกัน ทำให้มีความสามารถในการเขียนใบลาน เมื่อสึกหาลาเพศไปมีครอบครัว พอพ้นฤดูทำนา ท่านก็มาช่วยหลวงพ่อ มาช่วยพระอาจารย์เขียนพระไตรปิฎก จารตัวอักษรลงใบลานกัน เขาทำสืบทอดกันอย่างนี้มาเป็นร้อยเป็นพันปี ทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยความเหนื่อยยากเพราะฉะนั้นท่านจึงไม่มีเหตุผลจะต้องมาเขียนเพื่อโกหกคนรุ่นหลัง


     เรื่องที่เล่ามาเป็นแค่เรื่องการเขียนลงใบลาน ส่วนเรื่องการลองผิดลองถูกเมื่อพัน ๆ ปีก่อนหน้าโน้น กว่าจะสรุปได้ว่าต้องเป็นใบลาน ก็คงใช้เวลาอยู่ไม่น้อย แล้วใบลานก็ยังมีหลายชนิด กว่าจะสรุปได้ว่าใบลานชนิดไหน ใช้ได้หรือไม่ได้ ก็คงหมดเวลาอีกไม่น้อย เมื่อได้ชนิดใบลานแล้ว กว่าจะสรุปได้ว่าต้องใช้ใบแก่ขนาดนั้นขนาดนี้ เลือกแล้วเลือกอีก ก็คงใช้เวลาอีกไม่น้อย

     เพราะฉะนั้น หลวงพ่อ หลวงปู่ในยุคโน้นแม้ตัวท่านเองยังมองนรกมองสวรรค์ไม่เห็น แต่ท่านก็มีความมั่นใจว่าอย่างน้อยต้องมีจริงเพราะเห็นความวิริยอุตสาหะของ ปู่ย่าตาทวดของท่านที่พากเพียรบันทึกพระไตรปิฎกลงใบลานสืบทอดกันมาเป็นพันๆ ปี

     ในฐานะที่ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นเด็กจึงตระเวนถามไปทั่ว บางท่านก็ตอบชัดเจนว่ามีจริง แต่พอซักถามต่อว่า หลวงพ่อหลวงพี่เคยเห็นหรือ ท่านก็ดีนะตอบตรง ๆ ว่าไม่เคยหลวงพ่อก็ซักถามอีกว่า แล้วทำไมหลวงพ่อหลวงพี่มั่นใจล่ะว่ามีจริง?ท่านก็ตอบว่า แม้ท่านจะไม่เคยเห็น แต่อาจารย์บ้าง หลวงลุงของท่านบ้างเคยเห็น แล้วท่านก็ไม่รู้จะโกหกไปทำไมความที่สมาธิของท่านยังไม่แก่กล้า พอมีคนไปถาม ท่านก็ตอบมาแบบก้ำกึ่ง เพราะท่านก็กลัวว่าจะกลายเป็นพูดเท็จไป เมื่อท่านตอบมาแบบนี้ ก็เลยทำให้คนฟังหมดความมั่นใจ

     หลวงพ่อเองเมื่อสมัยก่อนบวช เมื่อเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ยังสงสัยเรื่อง นรก-สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่อยู่เหมือนเดิม แต่ก็หาใครตอบคำถามแบบกล้ายืนยันไม่ได้สักที จนกระทั่งเมื่อได้มาพบกับคุณยาย (คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) พอพบกันครั้งแรกก็ถามคุณยายทันทีว่า....

“ยาย เรื่องนรก-สวรรค์นี่มีจริงหรือไม่จริง?”

     คุณยายตอบแบบชัดเจนเลยว่า “มีสิคุณ”คุณยายตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจขนาดนั้นยังไม่พอ ยังยืนยันเพิ่มเติมด้วยว่า“ยายไปช่วยพ่อมาด้วยตัวเอง พ่อยายละโลกแล้วไปตกนรก เพราะว่าตอนมีชีวิตอยู่กินเหล้าทุกเย็น ยายไปช่วยมาเลยนะ อาราธนาพระธรรมกายในตัวไปช่วยมาเลย พ่อยายจึงได้พ้นนรก”

     หลวงพ่อก็ซักถามต่อว่า “ยาย คนที่ตกนรกไปช่วยกันได้หรือ?”

    “ได้สิคุณ”“แล้วอย่างผมจะมีโอกาสทำได้บ้างไหม ?” “ได้สิคุณ ยายนี่กอข้อไม่กระดิกหู (ก ข โบราณอ่านว่า กอข้อ) อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ยายยังทำได้ พวกคุณเป็นนักศึกษาเรียนจบตั้งเมืองนอกเมืองนา ถ้าตั้งใจจริง ๆ ทำไมจะทำไม่ได้”


     เพราะฉะนั้น เมื่อคุณยายตอบหนักแน่นอย่างนี้ ก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า

          ๑) นรก-สวรรค์มีจริงแน่
          ๒) ทุกคนมีสิทธิ์ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ไปนรก ไปสวรรค์ได้ แต่ว่าต้องขยันนั่งสมาธิ
          ๓) ผู้พูดได้ไปช่วยพ่อของตัวเองมาแล้วและก็ยืนยันด้วยว่าอย่างเราก็ทำได้

     ต่อมาภายหลัง คุณยายท่านก็เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า

     “หลวงปู่วัดปากน้ำท่าน ใช้คำว่า การไปนรก-สวรรค์เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับคนที่เข้าถึงพระธรรมกาย เพราะถ้ายากก็คงจะไม่มีคนทำได้ มันง่ายสำหรับคนที่ทำได้ แต่มันยากสำหรับคนที่ไม่ได้ทำ”หลวงพ่อก็ซักถามอีกว่า “ยาย ในโรงงานทำวิชชารุ่นเดียวกับยาย มีคนทำได้หลายคนไหม หรือว่าทำได้แต่เฉพาะยาย?”

    คุณยายก็ให้ความมั่นใจว่า “ในโรงงานทำวิชชาทำได้หลายคน ขอให้คุณขยันนั่งสมาธิให้มาก ๆ ก็จะทำได้เอง”

    ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังคลางแคลงสงสัยเรื่องนี้ ทางที่ดีก็คืออย่าเพิ่งเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ให้เอาความเชื่อไว้บนหิ้ง เอาความจริงมาพิสูจน์ พิสูจน์ด้วยการขยันนั่งสมาธิทุกวันพร้อมทั้งตั้งใจทำทานรักษา ศีลไปด้วย วันใดที่เราเข้าถึงพระธรรมกาย วันนั้นเราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นมาเองว่า การเข้าถึงธรรมมีจริงนรก-สวรรค์มีจริง และคำสอนที่บันทึกในพระไตรปิฎกเป็นความจริง ขอให้นั่งสมาธิต่อไปทุกวัน โดยมีหลักสำคัญว่าทำให้จริงและทำให้ถูกวิธี เพราะของจริงต้องคู่กับคนจริงเราถึงจะพิสูจน์ความจริงได้ด้วยตัวเราเอง



หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘
 

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิธีสร้างสรรค์สังคม ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขไว้อย่างไร?

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนวิธีสร้างสรรค์สังคม
ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็นเป็นสุขไว้อย่างไร?



      สมเด็จพระบรมศาสดาทรงให้หลักที่พระพุทธศาสนาจะ อยู่ได้มั่นคงเอาไว้ และหลักนี้ก็เป็นเรื่องที่จะต้องเอามาใช้ในการสร้างสรรค์สังคมให้ประเทศชาติ บ้านเมืองของเราร่มเย็นเป็นสุขด้วยแต่ก่อนจะสร้างสรรค์สังคม เราต้องเข้าใจหลักการสำคัญก่อนว่า ใจของคนเป็นอย่างไร สังคมก็เป็นอย่างนั้น ใจขุ่นมัว สังคมก็ขุ่นมัว ใจใสสะอาด สังคมก็ร่มเย็น

     พิษร้ายของความสกปรกขุ่นมัว มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อน้ำขุ่นมัว ไม่ใส บุคคลย่อมไม่แลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวด ก้อนทราย ฝูงปลา ฉันใดเมื่อจิตใจของคนเราขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมไม่เห็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ฉันนั้น

     อานุภาพของความใสสะอาดก็มีกล่าวไว้เช่นกัน ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อน้ำ  ไม่ขุ่นมัว ใสบริสุทธิ์ บุคคลย่อมแลเห็นหอยกาบ หอยโข่ง ก้อนกรวด ก้อนทราย และฝูงปลาฉันใด เมื่อจิตใจไม่ขุ่นมัว บุคคลก็ย่อมเห็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านชัดเจน ฉันนั้น

     ถ้าแต่ละคนในบ้านในเมืองใจใส ก็จะเห็นประโยชน์ของตัวเอง เห็นประโยชน์ของหมู่คณะเห็นประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ว่ากี่ฝ่ายก็จะเห็นตรงกันว่า ประเทศชาติบ้านเมืองจะก้าวหน้า วัดวาอาราม พระศาสนาจะก้าวหน้า จะต้องทำอย่างไรบ้าง

     พอใจใสแล้วจะเห็นตรงกัน เหมือนกับในยามเที่ยงวันที่ดวงอาทิตย์สว่างไสวอยู่กลางท้องฟ้าอะไรต่อมิอะไร ก็จะปรากฏชัดเจนเห็นตรงกัน ถ้าใจของคนเราใสแล้ว ดี-ชั่ว ผิด-ถูก ควร-ไม่ควรก็จะเห็นตรงกัน

     ในปัจจุบันแม้ในบ้าน ในครอบครัว การที่จะคำนึงถึง เอาใจเขาใส่ใจเรา เอาใจเราใส่ใจเขากับคนในครอบครัวก็หายกันไปมาก ทำให้ใจของคนในครอบครัวไม่ใสเท่าที่ควรจะเป็น

     ปัจจุบันสังคมใหม่เกิดขึ้นมากมาย เป็นสังคมที่แม้แต่บ้านติดกันก็ไม่ค่อยจะรู้จักกัน เพราะว่าต่างก็อพยพมา ย้ายถิ่นมาทำมาหากินกันอยู่ในตัวเมือง ความใกล้ชิดประสาบ้านใกล้เรือนเคียงความเป็นญาติ ความกล้าเตือนกันดั่งในอดีตที่สังคมเป็นสังคมญาติพี่น้อง ที่คนส่วนใหญ่มาจากตระกูลเดียวกันก็หมดไป มีแต่การกระทบกระทั่งกัน มีความระแวงซึ่งกันและกันเข้ามาแทนที่ถ้าปล่อยให้สภาพอย่างนี้เป็นต่อไป โลกคงขาดความน่าอยู่


     สำหรับการสร้างสรรค์สังคมที่ดีให้เกิดขึ้นและดำรงคงอยู่นั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ๔ ขั้นตอน ดังนี้

     ประการที่ ๑ ฝึกใจให้ผ่องใสเป็นกิจวัตร

     ในฐานะชาวพุทธ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องเตือนตัวเองให้รู้จักทำใจให้ผ่องใสอยู่เป็นประจำ   

     ประการที่ ๒ ขยันสร้างมิตรภาพ ขยันสร้างเครือข่ายคนดี

     ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนต้องสร้างมิตรภาพเอาไว้ให้เต็มที่ เวลาทำความดีจะได้ไม่โดดเดี่ยวลำพังไปอยู่ในถิ่นไหนให้ตระเวนหากันเลยที เดียวว่า ในย่านนั้นบุคคลที่น่าเคารพที่น่าเชื่อถือมีใครบ้าง

ตัวอย่างเช่น


          ๑) ใครมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เข้าวัดปฏิบัติธรรมเป็นประจำ      
 
          ๒) ใครมีศรัทธา ใครมีศีล ใครมีจาคะ มีความเสียสละเห็นแก่ส่วนรวม

          ๓) ใครมีปัญญา ศึกษาธรรมะมาดีพอ

          ให้ไปสร้างสัมพันธไมตรีกับเขาเหล่านั้นเอาไว้ให้ดี แม้ไม่รู้จักก็ต้องรีบไปทำความรู้จัก เพื่อว่าจะได้รวมคนดีเอาไว้ เรามีดีอะไรก็จะได้แบ่งปันให้เขา เขามีดีอะไรก็จะได้ขอเอามาเป็นต้นแบบในการสร้างบารมีของเราด้วย เมื่อเป็นอย่างนี้คนดีก็จะได้คบหากัน อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เป็นปึกแผ่นขึ้นมา

          ไม่ว่าคนดีเหล่านั้นจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน อายุมากกว่า หรืออายุน้อยกว่าเรา ขอให้เป็นคนดี คนที่มีใจผ่องใสอยู่เป็นประจำ ให้ไปคบค้าสมาคม แล้วก็ไปรวมพวกเอาไว้ให้ดีแม้ในการประกอบอาชีพตั้งหลักตั้งฐาน พระพุทธองค์ก็ทรงสอนว่า

          ๑) ให้ขยันหาทรัพย์

          ๒) ให้ขยันเก็บรักษาทรัพย์

          ๓) ให้ขยันคบคนดี

          ๔) ให้ใช้ทรัพย์อย่างผู้รู้ประมาณ โดยแบ่งทรัพย์มาหนึ่งในสี่ ให้เอาไว้เป็นงบประมาณในการผูกมิตร ในการคบคนดี เพื่อรักษาคนดีใจใส ๆ เป็นพรรคเป็นพวกกันไว้

     สิ่งที่พระองค์ทรงให้ไว้ตรงนี้ ไม่ได้เป็นแค่การบุญการกุศลเท่านั้น แต่นี้เป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาด้วย
 
     ถ้าคนดีรวมกันติด จะสามารถรวมพวกที่เป็นกลาง ๆ ได้ แล้วจะเป็นที่เกรงใจของคนที่ไม่เข้าท่าไม่เข้าทาง เช่นนี้คนดีก็สามารถจะควบคุมบรรยากาศโดยรวม ทำให้สังคมยังเป็นสังคมแห่งการทำความดีอยู่ได้

     การที่เราชวนคนมาทำความดี การที่เราชวนคนมาตักบาตร การชวนคนมาโปรยกลีบดอกดาวรวย (ดอกดาวเรือง) ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นั่นเป็นการทำบุญให้แก่ประเทศชาติอย่างมหาศาล เพราะถึงแม้เขาไม่ได้มาร่วมโปรยกลีบดอกดาวรวยกับเรา แต่สำนึกของความรับผิดชอบได้ไปสู่สายตาประชาชน แล้วก็พร้อมที่จะทำสิ่งที่ดีงามอีกต่อไป

     การที่เราตักบาตรเพื่อที่จะไปช่วยดูแลภาคใต้มาหลายปี รวมพระสงฆ์มาตักบาตรทีละหมื่นสองหมื่น สามหมื่นรูป สะสมต่อเนื่องกันทั้งปีหลาย ๆ ปีมานี้ เราจึงช่วยกันรักษาแผ่นดิน ๔ จังหวัดภาคใต้เอาไว้ได้เลยเป็นผลให้เกิดความตื่นตัวในหมู่ชาวพุทธที่จะทำ อะไรที่ดีงามต่าง ๆ ขึ้นมาอีกมาก นั่นเป็นผลกระทบในสิ่งที่ดีที่งามทั้งนั้น

     สิ่งเหล่านี้ปู่ย่าตาทวดของเราศึกษาและเข้าใจเป็นอย่างดี ในอดีตคนไทยก็มีไม่มากแต่สร้างวัดไว้เต็มแผ่นดินไทย เดี๋ยวนี้คนไทยเพิ่มขึ้นมา ๗๐ ล้านคน ปีหนึ่ง ๆ มีวัดสร้างเพิ่มขึ้นไม่กี่วัด แต่ว่ามีวัดร้างเพิ่มขึ้นมาก บ่งบอกว่าประชาชนจำนวนมากขึ้นก็จริง แต่ไม่มีการรวมเอาคนใจใส ๆ มาไว้ด้วยกัน เพราะฉะนั้นแม้มีประชากรมาก ก็ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนาไม่ค่อยจะได้

     หลวงพ่ออยากจะเห็นเหมือนกัน อยากเห็นคนไทยที่ไม่ต้องรู้จักกันหรอก แต่คิดจะทำบุญร่วมกัน ออกมาอยู่กลางถนนให้เต็ม แล้วก็สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรพร้อม ๆ กันทั้งแผ่นดินไทยคงเข้าท่าดีเหมือนกัน การที่คนเรามาสวดมนต์พร้อม ๆ กัน หรือมานั่งสมาธิพร้อม ๆ กันจำนวนมาก เป็นหมื่น เป็นแสน หรือเป็นล้านขึ้นไป อย่าว่าแต่มนุษย์เลย เทวดาก็ ต้องหยุดฟังด้วย จะทำอะไรที่เป็นสิ่งที่ดีงามแล้ว เราไม่ควรกระมิดกระเมี้ยน ควรชักชวนกันมาให้เต็มที่ นั่นเป็นการประพฤติปฏิบัติของนักปราชญ์บัณฑิตหรือชาวพุทธ

     ประการที่ ๓ เมื่อทำดีแล้วก็ปลื้มใจ ยิ่งได้นึกถึงก่อนนอนยิ่งดี

     เวลาจะนึกถึงความดี ให้เราวางใจนิ่ง ๆ อยู่กลางกายจนกระทั่งคุ้น เมื่อคุ้นแล้วเดี๋ยวใจก็ใสพอใจใส บุญที่ทำเอาไว้เท่าไร ๆ จะค่อย ๆ ผุดขึ้นมาเอง ใครที่นึกถึงบุญไม่ค่อยจะออก ปลื้มไม่ค่อยจะเป็น แสดงว่านั่งสมาธิน้อยไป ในขณะที่บางคนเขาฝึกมาดี ยังไม่ทันนั่ง ใจเขาก็ใสแล้วคนที่ฝึกมาดีแล้วเขามีอยู่ ฉะนั้นในการนั่งสมาธิอย่าเอาปริมาณเวลาเป็นหลัก เอาว่าใจใสได้นานต่อเนื่องแล้วหรือยังเป็นหลัก ถ้าใจยังไม่ใสก็นั่งสมาธิต่อไป ฝึกให้คุ้นกับความใจใส

     ประการที่ ๔ กล่าวเชิญชวนยกย่องสรรเสริญให้กำลังใจคนที่ทำความดี

     ประการนี้ยิ่งสำคัญ ต้องหัดให้เป็นนิสัยถ้าใครแม้ใจใสมาระดับหนึ่งแล้วเพราะทำดีมาตลอดแต่แค่การ ให้กำลังใจคน การให้เกียรติคนยังไม่สามารถทำได้ นั่นก็บ่งบอกว่าเรายังจัดระเบียบคำพูดไม่ค่อยลงตัว ที่จัดระเบียบคำพูดไม่ลงตัว ก็เพราะว่าระเบียบความคิดของเรายังไม่ลงตัวที่จัดระเบียบความคิดของเราไม่ลง ตัว เพราะข้าวของในบ้านของเราก็ยังจัดไม่ลงตัว สาเหตุที่เรายังจัดของที่บ้านไม่ได้ เพราะบ้านสะอาดไม่พอ บางบ้านสะอาดพอ แต่ที่สะอาดเป็นฝีมือคนรับใช้ไม่ใช่ตัวเองทำ ถ้าตัวเองไปทำก็ทำได้ไม่สะอาดอย่างนั้น

     การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะสามารถชวนคนไปทำความดี หรือใครทำความดีก็เชียร์เขาได้เต็มที่ คนนั้นจะต้องผ่านการจัดระเบียบข้าวของที่บ้าน ผ่านการทำความสะอาดที่บ้านของตัวเองมาไดดี้ทีเดียว ไม่อย่างนั้นทำไม่ได้ อาจจะดูว่าแปลก แต่ขอเชิญลองไปทำดูด้วยตัวเองแลว้ จะเข้าใจเหตุกับผลนี้ได้เอง

     วันนี้ ในบ้านเมืองของเรานี้ คนที่มีความสามารถที่จะชี้ผิด ชี้ถูก ชี้ดี ชี้ชั่ว ได้ชัดเจนหาได้ยาก อาจจะเป็นเพราะ

          ๑) เขาอาจจะรู้แยกแยะดี-ชั่ว ผิด-ถูก แต่เขาไม่เคยชวนคนอื่น

          ๒) เขาเคยชวนคนอื่น แต่ไม่เคยเชียร์ใครให้ทำความดี เพราะฉะนั้นก็เลยพากันนิ่ง เลยรวมคนดีไม่ค่อยจะได้ ต่างคนต่างอยู่ เมื่อต่างคนต่างอยู่ ประเทศชาติ พระศาสนาคงเดินหน้าไม่ได้

     ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการจะสร้างสรรค์สังคมให้ร่มเย็นเป็นสุขด้วยมือของเรา ต่อแต่นี้ไปตั้งใจฝึกตัวเองให้ใจใส ตั้งเป้าหมายต่อสังคมไว้ว่า หากเราไปอยู่ที่ไหนจะต้องรวมคนดีมีศีลมีธรรมไว้ให้เป็นปึกแผ่นในชุมชนใน สังคมของเรา เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้า โดยเริ่มจากตัวเราเองฝึกตัวเองให้ดีแล้วไปชักชวนคนอื่น เมื่อทำแล้วก็ปลื้ม ใจจะได้ฟู เมื่อใจฟูแล้วก็เกิดพลังใจพลังคำพูด คำสรรเสริญ ทั้งชวน-ชม-เชียร์คนทำความดีกันได้ถ้วนทั่วทุกหนแห่งที่เราไปอยู่อาศัยแล้ว คนดี ๆ ก็จะรวมกลุ่มกันติด แล้วกลายเป็นกลุ่มก้อน เป็นเครือข่าย เป็นสังคมที่ดีขึ้นมาได้สำเร็จเอง


หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : พระราชภาวนาจารย์ (หลวงพ่อทัตตชีโว)
จากวารสารอยู่ในบุญฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๘